top of page
Search

เกมทำร้ายหรือช่วยเหลือ ?

  • Writer: HotHeadMan
    HotHeadMan
  • Mar 3, 2019
  • 1 min read

Updated: Mar 4, 2019


เกมเป็นสื่อบันเทิงประเภทหนึ่งที่อยู่คู่เด็กไทยมานานซึ่งมันได้ถูกหลอมรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของพวกเขาไปแล้วโดยสังเกตุได้จากข่าวหรือการวิจัยต่างๆ นั้นทำให้ประกอบวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมและนิสัยของคนไทยแล้วที่จะยอมรับเรื่องแบบนี้มันยากและมักที่จะนำความคิดอคติของตนไปผสมทำให้การตีความหมายของในการแยกอาการติดเกมและการเล่นเกมเพื่อผ่อนคลาย เล่นกับเพื่อนเพื่อสังคมหรือฝึกให้เชี่ยวชาญจนสามารถทำเป็นอาชีพได้ นอกจากนั้นเกมยังสามารถใช้ในการรักษาโรคได้ด้วย ใช่แล้วครับคุณฟังไม่ผิดแล้วครับ มีนักวิจัยกำลังทำงานวิจัยกับการพัฒนาเกมที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สมองในชีวิตประจำวันของเราและอาจจะสามารถถูกกำหมดให้ใช้ในการรักษาความผิดปกติของสมอง เช่น โรคสมาธิสั้น ออทิสติก โรคซึมเศร้า อัลไซเมอร์และอื่นๆอีกมากมาย พวกเขาตั้งเป้าหมายที่จะสร้างวิธีการรักษาแบบใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีซึ่งมีผลข้างเคียงและทำให้เป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งโครงการเหล่านี้เป็นโครงการงานวิจัยของ akiliinteractive หากสนใจสามารถเข้าไปศึกษาได้ผ่านทางลิงค์นี้ครับ https://www.akiliinteractive.com/science-and-technology หากคุณยังรู้สึกข้องใจในเรื่องของเกมเราขอนำเสนอเรื่องราวของอดีตเด็กติดเกมคนนี้ครับ


ภาพและข้อมูลจาก pantip.com

ภาพและข้อมูลจาก pantip.com

ผมเริ่มเกมออนไลน์อย่างหนักตั้งแต่ประถมปลายยันมหาลัย และปัจจุบันนี้ทำงานแล้วก็ยังเล่นอยู่ (นานๆเล่นทีครับ เบื่อๆแล้ว) ช่วงม.1-ม.2 เนี่ยเป็นช่วงที่ติดหนักมาก เลิกเรียนแล้วก็ต้องวิ่งไปร้านเกมตลอดครับ เล่นแม่มทุกเกมเลย ไม่สนใจโลก การเรียนช่างแม่ม ไปเรียนก็หลับๆเล่นๆ ไม่มีเป้าหมายทั้งการเล่นและการเรียน (ภาวะเด็กติดเกมอย่างชัดเจน)

พอเข้าสู่ช่วงม.3 ก็ได้มีโอกาสเล่นเกมออนไลน์อยู่เกมนึง ชื่อเกม Audition เป็นเกมแนวเพลงดนตรี การกดลูกศรและการจับจังหวะ ซึ่งตัวผมเองก็มีพื้นฐานทางด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก(เคยเรียนเปียโนสมัย3ขวบ) ทำให้รู้สึกว่าเกมนี้เป็นเกมที่ผมเล่นแล้วรู้สึกว่าเล่นออกมาได้ดี พอมีประกาศรับสมัครแข่งขัน ก็ลงแข่งทุกรายการ แล้วก็ได้รางวัลมาอยู่ไม่น้อย (มูลค่ารางวัลรวมๆประมาณ10000บาท)

แต่ยิ่งผมไปแข่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูกมองว่าเป็นเด็กติดเกมมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ช่วงนั้นผมก็คิดว่า ถ้าเล่นเกมแล้วจะโดนคนภายนอกมองว่าติดเกมแล้วไม่ได้อะไร ถูกมองภาพลบแบบนี้เนี่ย ผมก็จะลองเอาดีทางด้านนี้ดูแบบจริงจัง คิดแค่ว่ามันต้องได้อะไรกลับมาหรือมีข้อดีอะไรสักอย่างที่น้อยคนจะเข้าถึง และผมก็อยากจะเป็นคนส่วนน้อยนั้น

หลังจากวันนั้นผมก็เริ่มจริงจังกับการเล่นเกมมากกว่าเดิม โดยที่ก็ใช้เวลาในเล่นเท่าเดิมคือหลังเลิกเรียนตอนถึงบ้าน (ที่บ้านซื้อคอมมาใหม่ ก็ไม่ได้ไปร้านเกมอีก) และ ทุกครั้งที่เล่น ผมก็จะพยายามหาเทคนิคต่างๆที่จะทำให้ตัวผมเองพัฒนายิ่งขึ้น โดยที่เทคนิคต่างๆเนี่ยจะต้องไม่มีเผยแพร่ทั่วไป นั่นเป็นวิธีที่ผมคิดว่าน่าจะทำให้ไปสู่จุดสูงสุดได้ไวที่สุด

พอช่วงม.4ถึงม.6 ผมก็ยังคงเดินตามเป้าหมายที่ผมวางไว้ พยายามซ้อมทุกวัน หาเทคนิคมากมายต่างนานา เล่นแบบกำหนดเป้าหมาย ต้องทำได้เท่านี้ๆให้ได้ภายในกี่เดือน ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาไปเที่ยวและอยู่กับครอบครัว เรียกได้ว่า ชีวิตช่วงนั้นการเรียนนี่ผมแทบไม่สนใจเลย

พอใกล้ถึงช่วงสอบ GAT PAT ผมก็เริ่มรู้สึกตัวว่า ถ้าผมยังไม่แบ่งเวลาไปอ่านหนังสือบ้าง คงจะสอบไม่ติดมหาลัยแน่ๆ (ผมอยากเข้าวิศวะครับ) ก็เลยลดเวลาการเล่นเกมลงมาให้ 2ชม. แล้วเอาเวลา 2ชม.นี้ ไปอ่านหนังสือ 2 สัปดาห์แบบจริงจังเหมือนๆกับเล่นเกม ซึ่งต้องบอกเลยว่าแม้จะอยู่ ม.6 แต่ตอนนั้นความรู้ผมเทียบเท่าเด็กม.3เลย

แต่แล้วผมก็สอบตรงติดวิศวะ 2 ที่ได้สำเร็จครับ ซึ่งผมก็เลือกเรียน วิศวะ มหาลัยแถวย่านบางเขน (อีกที่แถวย่านศาลายามันไกลบ้านผมมาก)

พอสอบติดมหาลัยแล้วเนี่ย ชีวิตผมก็กลับสู่วงจรแบบเดิม หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้เรียน เข้าไปก็หลับตลอด อัดเสียงอาจารย์ไว้เพื่อหลอกตัวเองว่าจะกลับมาฟังที่บ้าน แต่พอกลับมาบ้านก็เล่นเกมอยู่ดี 55555

ช่วงมหาลัยของผมเป็นช่วงที่เริ่มมีการแข่งขันเกมออนไลน์บ่อยขึ้น (เกมออนไลน์เริ่มบูมขึ้นเรื่อยๆ) และวันแข่งขันก็มักจะใกล้กับวันสอบของมหาลัยมากๆ ซึ่งปัญหามันคงจะดูไม่ใหญ่มาก ถ้าหากผมตั้งใจเรียนในเวลาเรียน แต่นี่ความรู้ผมก็ไม่มีจะสอบ แถมผมจริงจังกับเกมมาเป็นระยะเวลาหลายปีก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสการแข่งใหญ่ๆไป แม้ว่าผมเช็คตารางสอบแล้วมีเวลาอ่านหนังสือเหลือวันละ 1 วิชา แต่ผมก็เลือกที่ทุ่มเวลาให้กับเกมมากกว่าการเรียน (ซึ่งจริงๆไม่ถูกนะครับ555) พอการแข่งขันจบก็ใช้เวลา 1 วันที่เหลืออ่านหนังสือสอบแบบจริงจัง (งดเกมไป 1 วันเต็ม) แล้วก็ไปสอบครับ

ทำแบบนี้เกือบทุกเทอม จนกระทั่งมหาลัยปี 3 และปี 4 ผมก็สามารถทำตามเป้าหมายที่ผมวางไว้ได้สำเร็จ

ผมคว้าแชมป์เกมออนไลน์อันดับ 1 ของประเทศไทยมาได้ 2 ปีซ้อน

ในช่วงชีวิตมหาลัย ผมแทบไม่ได้ขอเงินจากพ่อแม่นอกเหนือจากค่าขนมเลย เงินทั้งหมดที่ผมได้จากเกมมาทั้งสิ้นก็อยู่ในหลักแสน และ ผมก็ใช้เงินที่ได้จากการเล่นเกม ซื้อของส่วนตัวที่อยากได้ ไม่ว่าจะเป็น iPhone คอมพิวเตอร์ใหม่ ฯลฯ นานๆทีจะขอเพิ่มเล็กๆน้อยๆ ซึ่งผมก็มองว่าผมได้แบ่งเบาภาระครอบครัวจากการทำกิจกรรมที่คนภายนอกมองว่า ไร้สาระ

เรื่องเรียน ผมจบวิศวะด้วยเกรดเฉลี่ย 2.75 และผมก็ภูมิใจครับที่ผมจบ 4 ปี โดยไม่มี F สักตัว (ใครจะมองว่าเกรดน้อยผมไม่สนใจครับ ผมไม่ใช่เด็กเรียน) -----------------------------------------------------------------

ทั้งหมดที่ผ่านมา ผมมองว่ามันเป็น Achievement อย่างนึงของผม ผมก็เลยเขียนลงใน Resume ตอนสมัครงานด้วยว่า "ผมเป็นแชมป์เกมออนไลน์ระดับประเทศ 2 ปีซ้อน" แต่เพื่อนๆผมมองว่า มันดูไร้สาระ บริษัทที่ไหนจะสนใจ เขาต้องการคนที่เรียนเก่ง ไม่ใช่คนที่เล่นเกมเก่ง

แต่หารู้ไม่ ผมมีโอกาสไปสัมภาษณ์งานบริษัท 2 ที่ เป็นบริษัทใหญ่ทั้งคู่ แต่เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่นึงและบริษัทไทยที่นึง

ปรากฎว่าทั้ง Admin HR MD และ Manager สนใจเกี่ยวกับประวัติการแข่งขันเกมกับผมมาก เพื่อนคนอื่นเขาถูกถามเรื่องโปรเจคมหาลัย แต่กับผมเนี่ย ทั้งรอบ first interview และ final interview พี่ๆเขาถามเรื่องประวัติการแข่งขันเกมไป 70% ของเนื้อหาสัมภาษณ์งาน แล้วผมก็ได้งานทั้งสองที่ตามที่คาดไว้จริงๆ (มาถามทีหลัง เขาบอกว่า ดูเป็นคนที่เวลาสนใจอะไร จะทำออกมาไม่ใช่แค่ดีธรรมดา แต่ต้องดีเยี่ยมแน่นอน) -----------------------------------------------------------------

ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น ญาติๆของผม หรือ เพื่อนของพ่อและแม่ผม ที่เคยห้ามลูกเล่นเกม ทุกคนเปลี่ยนความคิดใหม่และพยายามสอนลูกให้เอาแบบอย่างผม (แต่เวลาผมสอนน้องๆ ผมจะเน้นให้เขาตั้งใจเรียนมากกว่า อย่าเดินตามแบบผมเป๊ะๆเลย มันไม่ดี555)

ผมอยากฝากแนวคิดของผมที่ได้จากการเล่นเกมไว้ให้เพื่อนๆว่า

1. ไม่มีสิ่งไหนที่ทำแล้วไร้สาระหรอกครับ เมื่อคุณทำมันออกได้ดีแล้วเนี่ย มันจะดูน่าสนใจและไม่ไร้สาระอีกต่อไป

2. มนุษย์เราถ้าทำอะไรแล้วตั้งใจทำจริงๆ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอกครับ

*ผมอ่านหนังสือ 1 วันก่อนสอบ ยังผ่านได้ทั้งๆที่ผมก็ไม่ใช่คนเก่ง ผมเชื่อว่ามันอยู่ที่เราตั้งใจจริงๆรึยังมากกว่า*

3. อยากจะเป็นคนที่เก่งที่สุด ต้องหาวิธีที่แตกต่างจากคนอื่นให้ได้

*ถ้าผมเชื่อหนังสือคู่มือต่างๆทั่วไปและทำตาม ก็คงเป็นได้แค่คนเก่งธรรมดาๆคนนึง แต่ถ้าผมมีเทคนิคใหม่ๆที่ไม่มีใครนึกถึง การจะเป็นคนที่เก่งที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป*

4. อย่าอายที่จะเสนอจุดเด่นหรือจุดที่แตกต่างในตัวคุณ

*ในขณะที่การสัมภาษณ์งานคนอื่นสู้กันด้วยโปรเจคและเกรดเฉลี่ย แต่ผมกลับสู้ด้วยโปรไฟล์กิจกรรมยามว่างที่น้อยคนจะกล้าพรีเซ้นตัวเอง (ซึ่งไม่มีคู่แข่งให้เปรียบเทียบ จึงดูเด่น)*

5. อย่าตัดสินคนเพียงเพราะแค่ได้ยินมาหรือรู้มา

*หลายๆคนใช้เวลาเล่นเกมเท่ากับผมหรือมากกว่าผมด้วยซ้ำ แต่เพียงเพราะเห็นผมไปแข่งบ่อยๆทำให้ดูเหมือนจะ "ติดเกม" ไปวันๆมากกว่า ใจจริงอยากจะบอกว่ามันก็ไม่แน่เสมอไป   ปัจจุบันผมเล่นเกมอาทิตย์ละ 2-3 วัน แต่ละวันส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 2 ชั่วโมง และ 1ชม.ของผมเทียบกับ 1ชม.ของคุณในการเล่นเกม ผมสามารถหารายได้จากการเล่นเกมเป็นเม็ดเงินจริงได้ไม่น้อย แต่ผมเลือกที่จะบอกเพียงบางคนเท่านั้นเอง

อ้างอิงจาก

https://pantip.com/topic/33134959


https://everwideningcircles.com/2018/12/27/video-games-medicine/

 
 
 

3 commenti


หวัดดีครับ ผมชื่อชัชชาติ
หวัดดีครับ ผมชื่อชัชชาติ
02 mar 2019

เป็นเกียจติอย่างยิ่ง

Mi piace

HotHeadMan
HotHeadMan
02 mar 2019

ขอบคุณครับ

Mi piace

หวัดดีครับ ผมชื่อชัชชาติ
หวัดดีครับ ผมชื่อชัชชาติ
02 mar 2019

ทำได้ดีมากครับน้ำตาแทบไหลคิดได้น่าทึ่งมากครับ รักเพจนี้จัง



Mi piace
bottom of page