DIO ผู้ห้าวหาญ
Mar 10, 2019
พูดคุยทั่วไป
ความเป็น”ปัญหา”หรือไม่ของความคิดนั้น มันตัดสินกันด้วย”สิ่งที่อยู่ตรงหน้า” หรือ “มุมมอง”ของคนเราเองกันแน่
มนุษย์ทุกคนนั้น ล้วนมีความคิดที่แตกต่างกัน บางครั้งความคิดของคนเหล่านั้นก็ทำให้บุคคลบางกลุ่มได้รับผลกระทบ การเข้าใจซึ่งกันและกัน และการรู้จักการปล่อยวาง มักจะเกิดผลดีต่อบุคคลที่ได้รับผลกระทบและเรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวจากประสบการณ์ของตัวผู้เขียน เพื่อแชร์ความความรู้สึกและวิธีการทำความเข้าใจในคนอื่นที่มีความคิดแตกต่างจากเราท่ามกลางเส้นทางชีวิตที่ผันแปรและผาดผ่านไปในหลายทิศทาง
ตัวเรานั้นก็มีสิ่งที่ผันแปร(variant)และการตัดสินใจ(Decision)มากมายในแต่ล่ะครั้งในชีวิต แต่ล้วนแล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็เกิดจากตัวเองแต่ถ้าเกิดการตัดสินใจของเรานั้น ถูกมองจากคนอื่นล่ะ ถ้าสิ่งเหล่านั้น คนรอบข้างบางคนมองว่ามัน “ผิด” ล่ะ ทั้งๆ ที่การตัดสินใจเหล่านั้นมันไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่ามัน“ผิด”เลยซักนิด แม้ต่อให้เราจะพิจารณาอีกซักกี่ครั้งก็ตาม เราจะยังยืนยันคำตอบเดิมของเราต่อไปหรือจะยอมเปลี่ยนความคิดไปตามคนเหล่านั้นแทนกันล่ะ
ในความเป็นจริง กาลเวลาผ่านไปในแต่และช่วง ความคิดของคนเรา ที่แม้จะต่างวัย หรือช่วงอายุเดียวกัน ความคิดเดียวกันหรือความคิดต่างกันก็สามมารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะอายุหรือช่วงเวลาไหน มันแสดงให้เห็นว่าเวลาไม่ได้ส่งผลอะไรกับความคิดเราจริงๆ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะเอาอะไรมาเป็นตัวแปรในการตัดสินใจของเรา กาลเวลาและประสบการณ์ สิ่งต่างๆเหล่านี้แต่เดิมมันเป็นเพียงตัวบ่งบอกความคิดนั้นเพียงแค่นั้นเองไม่ว่าเราจะคิดอะไร สุดท้ายความคิดเหล่านั้นจะมั่นคงได้แค่ไหนกัน ถ้าสุดท้ายความคิดเหล่านั้นจะต้องถูกเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามด้วยเหตุผลต่างๆ ที่เราคิดได้หรือคิดไม่ออก มีหนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือ “ไม่มีทางเลือก(no choice)” ซึ่งทำให้ใครหลายคนไม่สามารถที่จะยืนหยัดความคิดของตนเองได้อยู่หลายครั้ง และเลือกที่จะใช้ชีวิตกับความคิดเหล่านั้นต่อไป
ถ้าลองยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องความคิดเหล่านี้ ตัวผู้เขียนก็ขอเลือกเรื่องของตัวเองมาเล่าให้ฟังละกันครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ตัวผมนั้นได้เขียนลาป่วยกับทางหอในของมหาลัยของผมเองเพราะผมป่วยจริงๆ ปกติทางหอพักจะให้ลากลับบ้านช่วงวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ “แน่นอน” ผมป่วย ผมลาหอในมหาวิทยาลัยอย่างถูกต้อง ผมจึงสามารถใช้สิทธินี้ในการเลือกที่จะกลับไปอยู่บ้านเพื่อรักษาตัวหรือกลับหอก่อนกำหนดลาป่วยก็ได้ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามปกติ จนกระทั้งตัวผมดันมามีปัญหาเรื่องการไปรับไปส่งกับคนทางบ้านเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยสักนิด คนทางบ้านคนหนึ่งตอนแรกบอกกับผมว่า”จะเป็นคนไปรับไปส่งที่มหาลัยเอง”ในช่วงลาป่วยนี้แต่ก็ต้องกลับก่อนกำหนดเพราะเหตุผลต่างๆ ของเขา ซึ่งเหตุผลจริงๆ ที่เขาจะให้ผมกลับไปอยู่เหมือนเดิมนั้น มันเพียงแค่ว่าตัวเขาไม่สะดวกไปส่งผมให้แค่นั้นเอง ตัวผมนั้นไม่ได้ว่าอะไรนัก จะกลับไปก็ได้ แต่จะอยู่ต่อไหม มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพราะตัวผมยังมีคนในบ้านอีกคนที่ยังสามารถไปรับไปส่งให้ผมได้แน่นอนอย่างที่ผมบอกไป การไปกลับของผมนั้มนันไม่เป็นปัญหาอะไรอยู่แล้ว “แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหลักนั้น” มันคือมุมมองความคิดที่แตกต่างกันของผมและคนในบ้านผมเองนั้นโดยที่ “คนแรก”มองว่าควรกลับไปเพราะเหตุผลสารพัดมากมายที่เขาอยากให้ผมกลับ “แต่อีกคนกลับ”มองว่าตัวผมนั้นยังไม่พร้อมที่จะกลับจริงๆ ให้อยู่ต่อซักพักเพื่อที่จะเรียนรู้ในการที่จะดูแลตนเองท่างกลางความเจ็บป่วยในตอนนั้นลองเดากันเล่นๆ นะครับว่า “ตัวผมนั้นเลือกที่จะอยู่หรือไปกันแน่” เฉลยคือ ผมเลือกที่จะอยู่บ้านต่อครับ เพราะผมโอเคที่จะอยู่ต่อ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่มันดันเป็นปัญหาจนได้ เพราะผมเลือกตรงข้ามกับคนในบ้านคนแรก เพราะโดยพื้นฐานแล้วคนในบ้านของผมนั้นมีข้อบาดหมางต่อกันมาก่อน ต่างฝ่ายต่างมองสิ่งที่เขาบอกว่ามันเป็นปัญหา แต่บางคนก็มองว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไรตั้งแต่แรก ตัวผมเองก็เช่นกัน จนสุดท้าย คนในบ้านคนแรก ก็เลือกที่จะทำให้ผมไม่มีทางเลือก หรือ ไม่ให้ผมเลือกอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าไม่เลือกตามที่เขาบอก ผมจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองเลือกไป ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“คุณจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่คุณเลือกด้วยตัวคุณเอง” ประโยคนี้สำหรับผมในตอนนี้ มันไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหวเลยซักนิดเดียว เอาเข้าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ควรจะทำเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าย้อนกลับไปในสมัยผมยังเป็นเด็กหรือวัยรุ่น ประโยคนี้ทำให้ผมต้องยอมจำนนอยู่ทุกครั้ง มันเพราะอะไรนั้น ผมไม่อาจพูดได้อย่างแน่ชัด สำหรับผมอาจเป็นเพราะกลัว ความไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ผมคงไม่กล้าพอที่จะยืนหยัดในความคิดของตนเอง “อยากจะพิสูจน์ แต่ไม่อยากที่เสี่ยง” นั่นคงเหตุเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมเป็นแบบนั้นจากเหตุการณ์ของผมที่มาเล่านี้ มันทำให้ผมชวนคิดว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่มันคืออะไรกันแน่ ทำไมทั้งๆ ที่คนเรามันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันตั้งแต่แรก สุดท้ายก็ต้องมามีปัญหาที่จากเรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในบ้านจนได้“มุมมอง” เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆต่างก็มีมุมมองความคิดเป็นของตัวเองแม้กระทั่งสัตว์ก็ยังมีมุมมองความคิดของมันเหมือนกัน อย่างสุนัขจรจัดบางตัว แม้จะโดนทิ้งไว้ข้างถนนมันก็ยังเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังมีจิตใจที่ดีและยังคอยให้โอกาสแก่พวกมันเพื่อที่จะได้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่บางตัวที่เลือกที่จะหมดศรัทธาในตัวมนุษย์ และเลือกที่จะมีชีวิตของตนเองตามลำพัง ต่อให้มนุษย์จะใจดียังไงก็ไม่มีวันสนใจเหมือนกับ คนเราต่างก็มีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างและก็เหมือนกันในหลายๆ ครั้ง แต่สุดท้ายเราก็ยังคงอยู่ร่วมกันได้จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้เราสามารถเลือกที่อยู่แบบไหนได้นั้น ล้วนแล้วคงจะเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า “การยอมรับ” ซึ่งกันและกันการยอมรับ ที่ไม่ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดียังไง ภายใต้เรื่องเหล่านั้นเพื่อเราจะสามารถยืนอยู่ร่วมกันในสังคมที่ได้ก้าวผ่านความคิดเหล่านั้นไป มุ่งหวังที่จะทำอะไรร่วมกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะยอมรับซึ่งกันและกันและรับผิดชอบร่วมกันได้ การที่เราจะทำให้ใครซักคนนั้นยอมรับในมุมมองความคิดที่แตกต่างกันได้นั้น สิ่งที่ต้องทำคือรู้จักที่จะยืนหยัดในความคิดของตนเองให้ได้เสียก่อนเพื่อที่จะให้เขายอมรับในความคิดที่เรายืนหยัดได้นั้น
มันเป็นสิ่งที่แต่ล่ะคนต้องมีจิตใจที่แน่วแน่พอสมควร ซึ่งจะช้าหรือเร็ว หรือเพียงชั่วคราว มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนอยู่ดี การเลือกที่จะยืนหยัดในความคิดของตัวเองมันอาจต้องมีการแลกเปลี่ยน อาจจะต้องยอมที่จะต้องสูญเสียอะไรซักอย่างไป เพื่อให้ผู้คนยอมรับในความคิดเรา อาจเป็นเวลาที่ต้องเสียไปกับการพิสูจน์ความคิด เช่น นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูน์สมมุติฐานของตัวเองเพื่อให้ผู้คนยอมรับ หรือ เงินมากมายมหาศาล ที่เหล่านักธุกิจยอมที่ลงทุนไปเพื่อให้ได้กำไรที่ตัวเองหวังไว้ในอนาคตการที่เราสามารถยืนหยัดและทำสิ่งที่เราตั้งใจให้เป็นจริง มันไม่ได้จบอยู่แค่นั้น การรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด เพราะถ้าคุณไม่กล้าที่จะยอมรับและรับผิดชอบสิ่งที่คุณทำขึ้นมาเองนั้น ผลกระทบที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้มันจะถาโถมใส่ตัวคุณโดยไม่ทันตั้งตัว อย่างในโซเชียลที่มีคนแชร์และคอมเม้นกันมากมาย แต่บางครั้งไม่ได้คิดอย่างรอบคอบจริงๆ ทำให้เกิดผลเสียต่างๆ มากมาย ทั้งภาพลักษณ์บนโลกอินเตอร์เน็ตและในชีวิตจริง เว้นแต่ว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว มันก็คงจะโอเคได้เหมือนกันสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะสิ่งที่เราจะคิดและทำมันจะ“ผิด”หรือจะเป็น“ปัญหา”หรือจะเป็นอะไรก็ตาม มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั่นมันจะเป็นอะไร แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะคิดหรือมีมุมมองกับมันยังไง และไม่ว่าคุณจะคิดหรือมีมุมมองยังไง ขอให้กล้าที่จะยืนหยัดความคิดของตนเองและรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองคิด เพราะโลกใบนี้มัน freedom of thought ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรคุณก็จะสามารถเริ่มที่จะคิดและทำหรือมีมุมมองเป็นของตนเองได้ทั้งนั้น
จาก https://pantip.com/topic/38640476?fbclid=IwAR0OUOrHBtGymw-ZwDJgiBPSSUjJLscwiEJUS0bPO0IVCT09qNadmqX88_o
คุณคิดอย่างไงกับบทความนี้ครับ
Like